"สิ่งที่ชีวิตคิดไม่ถึง"
ตอนฝนตกอย่างเป็นบ้าเป็นหลังนั้น มันเป็นช่วงเดือนของฤดูร้อน ขังตัวเองอยู่ในห้องเช่าของเพื่อน มองลอดบานเกล็ดออกไปนอกตึก สาเกยืนต้นต้านพายุฝนหลงฤดูเพียงลำพัง
ปล่อยเพื่อนให้ออกไปข้างนอกทำธุระของเขา อยู่เพียงลำพังในห้องที่ไม่ใช่ของตัวเอง คนเราถึงอย่างไรก็พึงมีโลกลำพัง ปล่อยธารเวลาบ่าไหลไปด้วยตัวมันเอง อ่านหนังสือ พูดโทรศัพท์ นอน ตื่น กิน ขี้ เยี่ยว อาบน้ำ ดูโทรทัศน์
กระทั่งได้รับคลื่นสัญญาณโทรศัพท์สายหนึ่ง
“จำหนูได้ไหมคะ ที่เขียนมาหาเมื่อวันก่อน ดีใจมากที่ตอบหนู”
เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาว ทราบภายหลังอายุสิบเจ็ด
“จำได้” ข้าพเจ้าตอบ “ว่าแต่ว่า ทำไมถึงสนใจกวีคนนั้นล่ะ” ถามกลับทั้งที่สังหรณ์ใจ
“คือ...คือหนู...หนูจะบอกว่า...หนูเป็นลูกสาวของเขาค่ะ...มีคนบอก...บอกว่าพี่....เอ่อ...อา...สนิทกับพ่อ...คนเขาแนะนำหนูมาค่ะ”
ในห้วงลำพัง ในห้องคนอื่น ข้าพเจ้ารู้สึกสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่กี่นาที ดาวตลกในโทรทัศน์ ทำให้ข้าพเจ้าหัวเราะ
เด็กสาวชาวกรุง แม่เป็นคนเมือง ครอบครัวสมบูรณ์พูนสุข แต่ติดตามหาพ่อชาวนาบ้านนอก พ่อผู้ถูกชะตากรรม (หรืออะไรก็ตามแต่) ผลักไสออกไปจากชีวิตจริงของเธอ พ่อผู้อยู่ในตำนานฝัน พ่อผู้ที่ตั้งแต่จำความได้เธอไม่เคยเห็นหน้า และตัวพ่อก็ไม่เคยเห็นใบหน้าที่รู้เดียงสาแล้วของเธอ ถ้าจะมีความใกล้ชิดอยู่บ้างก็อาจครั้งพ่ออุ้มตอนแบเบาะ (เธอว่าเธอแอบเห็นภาพถ่ายในห้องแม่)
แต่นั่นแหละ เธอรู้อยู่แก่ใจ ไม่เพียงพ่อจะจากครอบครัวเธอไป พ่อยังจากโลกใบนี้ไปในฤดูหนาวหลายฤดูแล้ว จากไปในวัยห้าสิบเศษ ว่ากันว่าด้วยพิษสุรา
เธอยังตามหาพ่อ พ่อในชีวิตทางนามธรรมอันพึงเหลืออยู่
ชื่อเสียงเรียงนามอาจแก้ไขได้ สถานภาพชีวิตอาจดัดแปลงได้ แต่ที่เปลี่ยนมิได้เลย คือเธอเป็นลูกพ่อ เลือดพ่อยังไหลเชี่ยวในเรือนกายของเธอ
ข้าพเจ้าพยายามหลับตา หวังเห็นภาพมหัศจรรย์ของชีวิต
“พ่อเป็นกวี ตายเพราะเหล้า หนูได้ยินแต่คนเขาพูดอย่างนั้น แต่หนูก็ภูมิใจในด้านอื่นของตัวพ่อ มีคนบอกว่าพ่อเป็นกวีเลือดชาวนา มีแต่ปากกากับหัวใจ” เธอพูดอย่างนั้น
ข้าพเจ้าได้นัดพบเธอในวันหนึ่ง เห็นและรู้จักความเป็นเธอมากขึ้น เธอมีอะไรหลายอย่างละม้ายพ่อ ทั้งหน้าตาและจิตใจ อ่อนไหว อ่อนโยน กล้าหาญ จริงใจ ไม่กลัวคน กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ กล้าท้า
ข้าพเจ้าเอง จะว่าสนิทกับพ่อเธอนักก็ไม่ใช่ หรือเรียกสนิทก็ได้ อย่างน้อยก็ช่วงท้ายๆ ของชีวิต กระทั่งวันได้ช่วยนำร่างไร้ลมหายใจพ่อของเธอออกจากโรงพยาบาลในเมือง กลับบ้านนอก
สาเหตุการพลัดร้างห่างหายของความรักและครอบครัวนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้ ไม่ซักถาม กระทั่งพ่อเธอเมื่อมีชีวิตอยู่ก็ไม่ค่อยปริปากเรื่องนี้ รู้แต่เพียงว่าเขามีลูกสาวอยู่คนหนึ่งที่ไม่สามารถไปเห็นหน้าได้ เขาชอบเก็บงำ ไม่พูดจาให้ร้ายใคร
แต่เมื่อเขาเมา เขาร้องไห้
คนรู้จักสนิทสนมกับพ่อของเธอคงมีมากิ แต่เมื่อเธอเลือกที่อยู่และเลขโทรศัพท์ของข้าพเจ้า กระทั่งได้รับรู้แรงปรารถนาของเธอ
ข้าพเจ้าจึงเผลอน้ำตาไหลแบบช่วยตัวเองไม่ได้
ชีวิตคืออะไรหรือพี่?...พี่รู้จักมันหรือเปล่า?...หรือตั้งแต่เกิดจนตายที่พี่แสวงหามันอย่างโชกโชน...พี่เองก็ยังไม่รู้จักมัน?
ข้าพเจ้ารำพึงถามในใจ เหมือนได้คุยต่อหน้ากวีรุ่นพี่ผู้ล่วงลับคนนั้น
๒
จากฤดูร้อนครั้งนั้น ล่วงมาจนอีกวันหนึ่ง มันเป็นฤดูฝนที่ฝนเสือกไม่ยอมตก ข้าพเจ้าเตรียมตัวออกจากห้องตัวเอง ออกจากโลกลำพัง คนเราพึงออกจากโลกลำพังบ้าง ข้าพเจ้ามีนัดไปงานบุญบ้านเพื่อน
แน่นอนเสมอ เมื่อมีงานบุญ ก็ต้องมีการดื่มกินกับเพื่อนฝูง
ขณะออกจากห้อง คลื่นสัญญาณโทรศัพท์ทำงานเรียกหมายเลขข้าพเจ้า
“ขอโทษนะคะ ใครพูดคะ?” เกือบจะกดตัดสาย เพราะเข้าใจว่าคงต่อสายผิดแน่ๆ “ใช่คุณ...หรือเปล่าคะ?” เธอรีบระบุชื่อข้าพเจ้า
เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาว ทราบภายหลังอายุใกล้ยี่สิบ
“ใช่ครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”
“รู้จักคุณ...ไหมคะ?”
“อ๋อ...ที่เป็นพนักงานร้าน...ใช่ไหม? มีอะไรหรือเปล่าครับ?” อารมณ์ข้าพเจ้าเริ่มแปรปรวน ด้วยสังหรณ์ใจแปลกๆ
“เป็นญาติกันหรือเปล่าคะ?”
“เอ้อ...ไม่ใช่ญาติหรอกครับ แต่สนิทกันอยู่ ผมไปกินข้าวที่นั่นประจำ มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
ภายในข้าพเจ้าเหมือนเมฆตั้งเค้า
“คือหนู...หนูเป็นลูกสาวของเขาค่ะ ตอนนี้พ่ออยู่ห้องไอซียูโรงพยาบาล...หนูพบเศษกระดาษเลขโทรศัพท์ของพี่ในกระเป๋าสตางค์พ่อ จึงลองติดต่อมา หนูไม่เคยรู้เลยว่าพ่อมีญาติอยู่ที่ไหนบ้าง”
แล้วฝนก็ตกในหัวใจข้าพเจ้า
พ่อของเธอ ชายวัยห้าสิบเศษ พนักงานบริการร้านอาหารที่ข้าพเจ้าและญาติโกทางจิตใจนัดชุมนุมกันบ่อยๆ เขาเป็นพนักงานยอดเยี่ยมของร้าน ใครไปใครมาก็รักและผูกพันเขา บางคนกินดื่มร้านนี้นับยี่สิบปี ข้าพเจ้าก็สิบกว่าปี ต่างเห็นเขาเป็นมืออาชีพที่ทำให้ร้านมีเสน่ห์ วันไหนเบื่ออาหารเดิมๆ คิดอะไรไม่ออก เขาจะออกแบบกับแกล้มให้อย่างถูกปาก เหมือนรู้ใจและจดจำใจแต่ละคนได้ เหล้าแก้วไหนของใครผสมอะไร เป็นไม่มีตกหล่น แม้บางวันวงเหล้าของเราจะขยายใหญ่นับได้กว่าสิบชีวิต
เขาให้เกียรติเรา เราให้เกียรติเขา คุยกันได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่การหวยยันการศิลปะ กระทั่งถึงการบ้านการเมือง ทั้งเป็นศูนย์กลางข่าวสาร รายงานว่าวันไหนใครผ่านไปผ่านมายังชุมทางแห่งนี้บ้าง
“ขอเบอร์หน่อย ของเก่าหาย มีหวยเด็ดจะได้โทรไปบอก” เขายิ้มแย้ม พร้อมยื่นกระดาษเปล่าสำหรับจดรายการอาหารแผ่นเล็กๆ ให้ข้าพเจ้า
ตอนนั้น มันก็ไม่นานมานี้เอง
กับลูกสาวของเขาที่ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จัก ข้าพเจ้าบอกเธอไปว่า พ่อของเธอมีเพื่อนฝูงรักใคร่มาก โดยเฉพาะที่เป็นลูกค้าประจำร้าน อย่างไรจะแจ้งข่าวให้ทุกคนรู้ วันนั้นข้าพเจ้าชวนเพื่อนแวะไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
...เขาถูกโกนหัว ผ่าตัด ต่อสายระโยงระยาง ไม่รับรู้ใดๆ...
ข้าพเจ้ารับรู้แต่จากคำบอกเล่าของเพื่อนพนักงานร้านนั้น เส้นเลือดในสมองแตก วูบล้มลงในขณะปฏิบัติงาน หมอต้องผ่าตัดสมอง แต่กว่าจะผ่าได้ก็ต้องตามหาญาติรับรองเกือบค่อนคืน โชคดีที่ยังมีผู้ตามตัวลูกสาวพบ
ลูกสาว คำนี้เขาเคยเอ่ยถึงอยู่ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ซักไซ้ กระทั่งเรื่องเมีย เขาก็ไม่ค่อยได้บอกเล่าอะไร คล้ายมีเงื่อนปมเก็บงำซ่อนเร้น เขามักแสดงออกแต่เพียงการให้บริการที่ดี บางครั้งเลิกงานแล้ว ยังไปดื่มเหล้าหย่อนใจกับพวกเรา
ชีวิตรักของเขา ครอบครัวของเขา อาจเป็นเพียงด่านในใจลึกๆ ที่ต้องตีฝ่าไปเพียงลำพัง ชีวิตที่พ่อไปทาง แม่ไปทาง ลูกไปทาง เป็นชีวิตจริงของเขาแน่แท้
ตอนนั้น ข้าพเจ้าเพียงรู้สึกลึกๆ คงมีคนที่เขาห่วงคอยอยู่ที่ไหนสักแห่ง
โดยลักษณาการเจ้าชายนิทราร่วมสองเดือน จากฤดูฝนครั้งนั้น วันหนึ่งข้าพเจ้ากำลังรอนแรมอยู่ในชนบท เพิ่งได้สัมผัสจูบแรกของลมยะเยือก ข่าวแรกของเหมันต์แจ้งว่า พนักงานร้านผู้แสนดีคนนั้น...จากพวกเราไปแล้ว!
นอนหลับสนิทเสียทีนะ ข้าพเจ้าคิดถึงเขา แทนดอกไม้จันทน์
ข้าพเจ้ากลับเมืองหลวงไม่ทันไปเผาศพ ไม่ได้พบลูกสาวของเขา เพียงรู้สึกผูกพันกับเธอในส่วนลึกเท่านั้น
เมื่อเกิดมาเป็นชีวิต...เธอเลือกใคร?...ใครเลือกเธอ?...เธอมีชีวิตเติบโตขึ้นอย่างไร?...ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อไปอย่างไร?...ที่ผ่านมา...เธอมีวาสนาได้กอดพ่อสักกี่ครั้ง?...พ่อผู้ล่วงลับแล้วของเธอเล่า...หรือจะรู้และเข้าใจในชีวิตแบบเธอ?...แล้วเธอ...หรืออาจรู้และเข้าใจในชีวิตแบบพ่อ?
แต่ชีวิตก็คือชีวิต จะเป็นอะไรเสียอีก
ถึงอย่างไร ชายคนหนึ่งผู้งำแผลชีวิตไว้ในโฉมหน้าพนักงานเสิร์ฟที่ดีที่สุดคนหนึ่งของพวกเรานั้น ก็คือพ่อแท้ของเธอ
๓
ข้าพเจ้ารักชีวิต ยินดีที่โลกมอบชีวิตเป็นของขวัญ ข้าพเจ้าใช้ชีวิต ศึกษาชีวิต กระนั้นก็ยังเขลาชีวิต
การเกิดขึ้น...ดำรงอยู่...ตายจากไป...ชีวิตมีเจตจำนงในตัวเอง หรือเป็นเจตจำนงของสิ่งลี้ลับใด?
เลือดเนื้อหนึ่งแตกดับสูญสิ้น อีกเลือดเนื้อก่อตัวขึ้นทุรนทุกข์ ความรัก ความใคร่ เป็นประตูสวรรค์หรือนรก? เป็นประตูชีวิตหรือความตาย?
ข้าพเจ้าสงสัยเสียจริง สงสัยแม้ว่า สิ่งใดดลใจเด็กสาวสองคนเลือกหมายเลขข้าพเจ้าในเวลาไล่เลี่ยกัน ส่งสัญญาณใจในข่าวสารอันสวยเศร้าคล้ายกันนั้น
ไล่เลี่ยกันในยามที่...ข้าพเจ้ากำลังครุ่นคิดสิ่งที่ชีวิตคิดไม่ถึง หลายสิ่งที่ชีวิตคิดไม่ถึง ไม่ใครก็ใครจะต้องได้พบสิ่งที่อยู่เหนือคาดหมายของสามัญสำนึก
ไล่เลี่ยกันในยามที่...ก่อนหน้านี้ ผู้หญิงรู้จักกันอย่างน้อยสองคน เธอให้เกียรติข้าพเจ้าด้วยการโทรศัพท์ปรึกษา ทั้งสองมีเด็กในท้องที่พ่อเจ้าของสายโลหิตต้องพลัดพรากจากไป (จะด้วยสาเหตุใดก็ตามแต่)
คนหนึ่งเลือกเอาเด็กทิ้ง โดยตัดสินใจตามลำพัง
อีกคนเลือกเอาเด็กไว้ โดยเลี้ยงลูกตามลำพัง
ชีวิตในทุกข์และสุข ชีวิตในพันธนาการและอิสรภาพ ถึงอย่างไรผู้เลือกล้วนปวดร้าว ข้าพเจ้าช่วยได้ก็แต่เพียงความรู้สึกเป็นเพื่อนปลอบประโลม
ทารกที่แตกดับไป...ทารกที่เป็นตัวอยู่...ชะตากรรมใดจะเกิดขึ้นแก่ใครในลำดับถัดไป อันที่จริงมิใช่เรื่องของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าก็ถูกความปวดร้าวกัดกินใจอย่างช่วยไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่สามารถปิดรับคลื่นสัญญาณแห่งความฉงนได้
เบื้องหลังม่านละครชีวิต สิ่งใดซ่อนตัวชักใยอยู่หรือ?....เ
พิ่มเติมได้ที่ http://www.sakulthai.com/ruengson/2563.asp นะค่ะ