วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2551

สิ่งที่ชีวิตคิดไม่ถึง

"สิ่งที่ชีวิตคิดไม่ถึง"

ตอนฝนตกอย่างเป็นบ้าเป็นหลังนั้น มันเป็นช่วงเดือนของฤดูร้อน ขังตัวเองอยู่ในห้องเช่าของเพื่อน มองลอดบานเกล็ดออกไปนอกตึก สาเกยืนต้นต้านพายุฝนหลงฤดูเพียงลำพัง
ปล่อยเพื่อนให้ออกไปข้างนอกทำธุระของเขา อยู่เพียงลำพังในห้องที่ไม่ใช่ของตัวเอง คนเราถึงอย่างไรก็พึงมีโลกลำพัง ปล่อยธารเวลาบ่าไหลไปด้วยตัวมันเอง อ่านหนังสือ พูดโทรศัพท์ นอน ตื่น กิน ขี้ เยี่ยว อาบน้ำ ดูโทรทัศน์
กระทั่งได้รับคลื่นสัญญาณโทรศัพท์สายหนึ่ง
“จำหนูได้ไหมคะ ที่เขียนมาหาเมื่อวันก่อน ดีใจมากที่ตอบหนู”
เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาว ทราบภายหลังอายุสิบเจ็ด
“จำได้” ข้าพเจ้าตอบ “ว่าแต่ว่า ทำไมถึงสนใจกวีคนนั้นล่ะ” ถามกลับทั้งที่สังหรณ์ใจ
“คือ...คือหนู...หนูจะบอกว่า...หนูเป็นลูกสาวของเขาค่ะ...มีคนบอก...บอกว่าพี่....เอ่อ...อา...สนิทกับพ่อ...คนเขาแนะนำหนูมาค่ะ”
ในห้วงลำพัง ในห้องคนอื่น ข้าพเจ้ารู้สึกสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่กี่นาที ดาวตลกในโทรทัศน์ ทำให้ข้าพเจ้าหัวเราะ
เด็กสาวชาวกรุง แม่เป็นคนเมือง ครอบครัวสมบูรณ์พูนสุข แต่ติดตามหาพ่อชาวนาบ้านนอก พ่อผู้ถูกชะตากรรม (หรืออะไรก็ตามแต่) ผลักไสออกไปจากชีวิตจริงของเธอ พ่อผู้อยู่ในตำนานฝัน พ่อผู้ที่ตั้งแต่จำความได้เธอไม่เคยเห็นหน้า และตัวพ่อก็ไม่เคยเห็นใบหน้าที่รู้เดียงสาแล้วของเธอ ถ้าจะมีความใกล้ชิดอยู่บ้างก็อาจครั้งพ่ออุ้มตอนแบเบาะ (เธอว่าเธอแอบเห็นภาพถ่ายในห้องแม่)
แต่นั่นแหละ เธอรู้อยู่แก่ใจ ไม่เพียงพ่อจะจากครอบครัวเธอไป พ่อยังจากโลกใบนี้ไปในฤดูหนาวหลายฤดูแล้ว จากไปในวัยห้าสิบเศษ ว่ากันว่าด้วยพิษสุรา
เธอยังตามหาพ่อ พ่อในชีวิตทางนามธรรมอันพึงเหลืออยู่
ชื่อเสียงเรียงนามอาจแก้ไขได้ สถานภาพชีวิตอาจดัดแปลงได้ แต่ที่เปลี่ยนมิได้เลย คือเธอเป็นลูกพ่อ เลือดพ่อยังไหลเชี่ยวในเรือนกายของเธอ
ข้าพเจ้าพยายามหลับตา หวังเห็นภาพมหัศจรรย์ของชีวิต
“พ่อเป็นกวี ตายเพราะเหล้า หนูได้ยินแต่คนเขาพูดอย่างนั้น แต่หนูก็ภูมิใจในด้านอื่นของตัวพ่อ มีคนบอกว่าพ่อเป็นกวีเลือดชาวนา มีแต่ปากกากับหัวใจ” เธอพูดอย่างนั้น
ข้าพเจ้าได้นัดพบเธอในวันหนึ่ง เห็นและรู้จักความเป็นเธอมากขึ้น เธอมีอะไรหลายอย่างละม้ายพ่อ ทั้งหน้าตาและจิตใจ อ่อนไหว อ่อนโยน กล้าหาญ จริงใจ ไม่กลัวคน กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ กล้าท้า
ข้าพเจ้าเอง จะว่าสนิทกับพ่อเธอนักก็ไม่ใช่ หรือเรียกสนิทก็ได้ อย่างน้อยก็ช่วงท้ายๆ ของชีวิต กระทั่งวันได้ช่วยนำร่างไร้ลมหายใจพ่อของเธอออกจากโรงพยาบาลในเมือง กลับบ้านนอก
สาเหตุการพลัดร้างห่างหายของความรักและครอบครัวนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้ ไม่ซักถาม กระทั่งพ่อเธอเมื่อมีชีวิตอยู่ก็ไม่ค่อยปริปากเรื่องนี้ รู้แต่เพียงว่าเขามีลูกสาวอยู่คนหนึ่งที่ไม่สามารถไปเห็นหน้าได้ เขาชอบเก็บงำ ไม่พูดจาให้ร้ายใคร
แต่เมื่อเขาเมา เขาร้องไห้
คนรู้จักสนิทสนมกับพ่อของเธอคงมีมากิ แต่เมื่อเธอเลือกที่อยู่และเลขโทรศัพท์ของข้าพเจ้า กระทั่งได้รับรู้แรงปรารถนาของเธอ
ข้าพเจ้าจึงเผลอน้ำตาไหลแบบช่วยตัวเองไม่ได้
ชีวิตคืออะไรหรือพี่?...พี่รู้จักมันหรือเปล่า?...หรือตั้งแต่เกิดจนตายที่พี่แสวงหามันอย่างโชกโชน...พี่เองก็ยังไม่รู้จักมัน?
ข้าพเจ้ารำพึงถามในใจ เหมือนได้คุยต่อหน้ากวีรุ่นพี่ผู้ล่วงลับคนนั้น

จากฤดูร้อนครั้งนั้น ล่วงมาจนอีกวันหนึ่ง มันเป็นฤดูฝนที่ฝนเสือกไม่ยอมตก ข้าพเจ้าเตรียมตัวออกจากห้องตัวเอง ออกจากโลกลำพัง คนเราพึงออกจากโลกลำพังบ้าง ข้าพเจ้ามีนัดไปงานบุญบ้านเพื่อน
แน่นอนเสมอ เมื่อมีงานบุญ ก็ต้องมีการดื่มกินกับเพื่อนฝูง
ขณะออกจากห้อง คลื่นสัญญาณโทรศัพท์ทำงานเรียกหมายเลขข้าพเจ้า
“ขอโทษนะคะ ใครพูดคะ?” เกือบจะกดตัดสาย เพราะเข้าใจว่าคงต่อสายผิดแน่ๆ “ใช่คุณ...หรือเปล่าคะ?” เธอรีบระบุชื่อข้าพเจ้า
เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาว ทราบภายหลังอายุใกล้ยี่สิบ
“ใช่ครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”
“รู้จักคุณ...ไหมคะ?”
“อ๋อ...ที่เป็นพนักงานร้าน...ใช่ไหม? มีอะไรหรือเปล่าครับ?” อารมณ์ข้าพเจ้าเริ่มแปรปรวน ด้วยสังหรณ์ใจแปลกๆ
“เป็นญาติกันหรือเปล่าคะ?”
“เอ้อ...ไม่ใช่ญาติหรอกครับ แต่สนิทกันอยู่ ผมไปกินข้าวที่นั่นประจำ มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
ภายในข้าพเจ้าเหมือนเมฆตั้งเค้า
“คือหนู...หนูเป็นลูกสาวของเขาค่ะ ตอนนี้พ่ออยู่ห้องไอซียูโรงพยาบาล...หนูพบเศษกระดาษเลขโทรศัพท์ของพี่ในกระเป๋าสตางค์พ่อ จึงลองติดต่อมา หนูไม่เคยรู้เลยว่าพ่อมีญาติอยู่ที่ไหนบ้าง”
แล้วฝนก็ตกในหัวใจข้าพเจ้า
พ่อของเธอ ชายวัยห้าสิบเศษ พนักงานบริการร้านอาหารที่ข้าพเจ้าและญาติโกทางจิตใจนัดชุมนุมกันบ่อยๆ เขาเป็นพนักงานยอดเยี่ยมของร้าน ใครไปใครมาก็รักและผูกพันเขา บางคนกินดื่มร้านนี้นับยี่สิบปี ข้าพเจ้าก็สิบกว่าปี ต่างเห็นเขาเป็นมืออาชีพที่ทำให้ร้านมีเสน่ห์ วันไหนเบื่ออาหารเดิมๆ คิดอะไรไม่ออก เขาจะออกแบบกับแกล้มให้อย่างถูกปาก เหมือนรู้ใจและจดจำใจแต่ละคนได้ เหล้าแก้วไหนของใครผสมอะไร เป็นไม่มีตกหล่น แม้บางวันวงเหล้าของเราจะขยายใหญ่นับได้กว่าสิบชีวิต
เขาให้เกียรติเรา เราให้เกียรติเขา คุยกันได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่การหวยยันการศิลปะ กระทั่งถึงการบ้านการเมือง ทั้งเป็นศูนย์กลางข่าวสาร รายงานว่าวันไหนใครผ่านไปผ่านมายังชุมทางแห่งนี้บ้าง
“ขอเบอร์หน่อย ของเก่าหาย มีหวยเด็ดจะได้โทรไปบอก” เขายิ้มแย้ม พร้อมยื่นกระดาษเปล่าสำหรับจดรายการอาหารแผ่นเล็กๆ ให้ข้าพเจ้า
ตอนนั้น มันก็ไม่นานมานี้เอง
กับลูกสาวของเขาที่ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จัก ข้าพเจ้าบอกเธอไปว่า พ่อของเธอมีเพื่อนฝูงรักใคร่มาก โดยเฉพาะที่เป็นลูกค้าประจำร้าน อย่างไรจะแจ้งข่าวให้ทุกคนรู้ วันนั้นข้าพเจ้าชวนเพื่อนแวะไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
...เขาถูกโกนหัว ผ่าตัด ต่อสายระโยงระยาง ไม่รับรู้ใดๆ...
ข้าพเจ้ารับรู้แต่จากคำบอกเล่าของเพื่อนพนักงานร้านนั้น เส้นเลือดในสมองแตก วูบล้มลงในขณะปฏิบัติงาน หมอต้องผ่าตัดสมอง แต่กว่าจะผ่าได้ก็ต้องตามหาญาติรับรองเกือบค่อนคืน โชคดีที่ยังมีผู้ตามตัวลูกสาวพบ
ลูกสาว คำนี้เขาเคยเอ่ยถึงอยู่ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ซักไซ้ กระทั่งเรื่องเมีย เขาก็ไม่ค่อยได้บอกเล่าอะไร คล้ายมีเงื่อนปมเก็บงำซ่อนเร้น เขามักแสดงออกแต่เพียงการให้บริการที่ดี บางครั้งเลิกงานแล้ว ยังไปดื่มเหล้าหย่อนใจกับพวกเรา
ชีวิตรักของเขา ครอบครัวของเขา อาจเป็นเพียงด่านในใจลึกๆ ที่ต้องตีฝ่าไปเพียงลำพัง ชีวิตที่พ่อไปทาง แม่ไปทาง ลูกไปทาง เป็นชีวิตจริงของเขาแน่แท้
ตอนนั้น ข้าพเจ้าเพียงรู้สึกลึกๆ คงมีคนที่เขาห่วงคอยอยู่ที่ไหนสักแห่ง
โดยลักษณาการเจ้าชายนิทราร่วมสองเดือน จากฤดูฝนครั้งนั้น วันหนึ่งข้าพเจ้ากำลังรอนแรมอยู่ในชนบท เพิ่งได้สัมผัสจูบแรกของลมยะเยือก ข่าวแรกของเหมันต์แจ้งว่า พนักงานร้านผู้แสนดีคนนั้น...จากพวกเราไปแล้ว!
นอนหลับสนิทเสียทีนะ ข้าพเจ้าคิดถึงเขา แทนดอกไม้จันทน์
ข้าพเจ้ากลับเมืองหลวงไม่ทันไปเผาศพ ไม่ได้พบลูกสาวของเขา เพียงรู้สึกผูกพันกับเธอในส่วนลึกเท่านั้น
เมื่อเกิดมาเป็นชีวิต...เธอเลือกใคร?...ใครเลือกเธอ?...เธอมีชีวิตเติบโตขึ้นอย่างไร?...ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อไปอย่างไร?...ที่ผ่านมา...เธอมีวาสนาได้กอดพ่อสักกี่ครั้ง?...พ่อผู้ล่วงลับแล้วของเธอเล่า...หรือจะรู้และเข้าใจในชีวิตแบบเธอ?...แล้วเธอ...หรืออาจรู้และเข้าใจในชีวิตแบบพ่อ?
แต่ชีวิตก็คือชีวิต จะเป็นอะไรเสียอีก
ถึงอย่างไร ชายคนหนึ่งผู้งำแผลชีวิตไว้ในโฉมหน้าพนักงานเสิร์ฟที่ดีที่สุดคนหนึ่งของพวกเรานั้น ก็คือพ่อแท้ของเธอ

ข้าพเจ้ารักชีวิต ยินดีที่โลกมอบชีวิตเป็นของขวัญ ข้าพเจ้าใช้ชีวิต ศึกษาชีวิต กระนั้นก็ยังเขลาชีวิต
การเกิดขึ้น...ดำรงอยู่...ตายจากไป...ชีวิตมีเจตจำนงในตัวเอง หรือเป็นเจตจำนงของสิ่งลี้ลับใด?
เลือดเนื้อหนึ่งแตกดับสูญสิ้น อีกเลือดเนื้อก่อตัวขึ้นทุรนทุกข์ ความรัก ความใคร่ เป็นประตูสวรรค์หรือนรก? เป็นประตูชีวิตหรือความตาย?
ข้าพเจ้าสงสัยเสียจริง สงสัยแม้ว่า สิ่งใดดลใจเด็กสาวสองคนเลือกหมายเลขข้าพเจ้าในเวลาไล่เลี่ยกัน ส่งสัญญาณใจในข่าวสารอันสวยเศร้าคล้ายกันนั้น
ไล่เลี่ยกันในยามที่...ข้าพเจ้ากำลังครุ่นคิดสิ่งที่ชีวิตคิดไม่ถึง หลายสิ่งที่ชีวิตคิดไม่ถึง ไม่ใครก็ใครจะต้องได้พบสิ่งที่อยู่เหนือคาดหมายของสามัญสำนึก
ไล่เลี่ยกันในยามที่...ก่อนหน้านี้ ผู้หญิงรู้จักกันอย่างน้อยสองคน เธอให้เกียรติข้าพเจ้าด้วยการโทรศัพท์ปรึกษา ทั้งสองมีเด็กในท้องที่พ่อเจ้าของสายโลหิตต้องพลัดพรากจากไป (จะด้วยสาเหตุใดก็ตามแต่)
คนหนึ่งเลือกเอาเด็กทิ้ง โดยตัดสินใจตามลำพัง
อีกคนเลือกเอาเด็กไว้ โดยเลี้ยงลูกตามลำพัง
ชีวิตในทุกข์และสุข ชีวิตในพันธนาการและอิสรภาพ ถึงอย่างไรผู้เลือกล้วนปวดร้าว ข้าพเจ้าช่วยได้ก็แต่เพียงความรู้สึกเป็นเพื่อนปลอบประโลม
ทารกที่แตกดับไป...ทารกที่เป็นตัวอยู่...ชะตากรรมใดจะเกิดขึ้นแก่ใครในลำดับถัดไป อันที่จริงมิใช่เรื่องของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าก็ถูกความปวดร้าวกัดกินใจอย่างช่วยไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่สามารถปิดรับคลื่นสัญญาณแห่งความฉงนได้
เบื้องหลังม่านละครชีวิต สิ่งใดซ่อนตัวชักใยอยู่หรือ?....เ

พิ่มเติมได้ที่ http://www.sakulthai.com/ruengson/2563.asp นะค่ะ

ผู้หญิงคนนั้น














































































































คนที่ให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับเรา....แล้วเราล่ะตอบแทนอะไรบ้าง...

เรื่องสั้น

น่าอ่านนะทุกคนลองอ่านดู
มรดกที่คุณพ่อมอบให้

กราบเท้าคุณพ่อที่เคารพรักสุดหัวใจ...
ถ้ามีใครถามลูกว่า “รักใครมากที่สุดในโลก?” ลูกจะรีบตอบทันทีว่า “รักคุณพ่อมากที่สุดในจักรวาล” และโดยเฉพาะเดี๋ยวนี้ก็ยิ่งรักและรู้สึกเห็นใจมากกว่าเดิม ทั้งเทิดทูนยกย่องไว้สูงสุดเหนือสิ่งอื่นใด
ในความรู้สึกของลูก คุณพ่อช่างสูงส่งเสียเหลือเกิน ทั้งในแง่บิดาผู้ให้กำเนิด พระคุณที่เลี้ยงดู ความเป็นสามีที่มีต่อคุณแม่ น้ำใจไมตรีที่มีต่อมิตรสหาย และความจริงใจต่อญาติพี่น้อง และที่สำคัญคือในแง่ความเป็นตัวตนที่แท้จริงของคุณพ่อเอง อันประกอบด้วยคุณงามความดีและจิตวิญญาณอันสูงส่ง ตลอดจนการดำรงชีวิตที่เรียบง่ายสอดคล้องกับธรรมชาติและหลักการของพุทธศาสนา-มิได้ยึดติดกับความเป็นวัตถุนิยมและการแสร้งทำแสร้งเป็นในสิ่งที่ตนไม่ใช่-หากกลับใช้เวลาค่อนชีวิตแสวงหาสัจธรรมและความปรารถนาแห่งชีวิตด้วยประสบการณ์ตรงและแท้จริงเยี่ยงชายชาตรี
ใครบ้างนะที่จะสนใจสังเกต จดจำ และวิพากษ์วิจารณ์คุณพ่อเช่นลูก?
แม้ว่าชีวิตในวัยหนุ่มของคุณพ่อจะถูกใช้ไปอย่างอิสระเสรีตามความปรารถนาแห่งหัวใจตนเอง ซึ่งในแง่หนึ่งก็นับเป็นชีวิตที่คุ้มค่ากับการได้เกิดมาชาติหนึ่ง โดยเฉพาะในยุคสมัยของคุณพ่อเป็นยุคที่เหล่าผู้ชายมักมีความเป็นสุภาพบุรุษ ทั้งต่อเพื่อนสนิทมิตรสหาย และต่อหญิงคนรัก กล่าวคือ พร้อมที่จะร่วมลงเรือลำเดียวกันหรือตายแทนกันได้เมื่อผู้เป็นที่รักถูกข่มเหงรังแก มีความกล้าหาญในการกระทำที่ถูกต้องและกล้ายอมรับในความผิดพลาด ยึดถือคุณธรรมเป็นหลักในการดำเนินชีวิต
คุณพ่อได้ท่องเที่ยวและผจญภัยอย่างโชกโชน ประสบอุปสรรคอันหนักหนาสาหัสหลากหลายรูปแบบ ทั้งในเชิงรบและเชิงรัก ในเชิงรบคุณพ่อคลุกคลีตนเองในสังเวียนลูกผู้ชาย ได้ต่อสู้ชิงไหวชิงพริบกันทุกรูปแบบและวิธีการ ราวกับ “ติงลี่” พระเอกในเรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ก็ไม่ปาน หรือในเชิงรักก็เล่นบทบาทเปรียบประหนึ่ง “บุเรงนอง” ในวรรณกรรมเรื่องเยี่ยม-ผู้ชนะสิบทิศ
ในวัยเยาว์ ลูกจำได้ว่า คุณพ่อมักไม่ค่อยได้อยู่บ้าน นานๆ จึงจะกลับมาเสียทีหนึ่ง เพราะต้องระหกระเหินไปอยู่ต่างจังหวัดอันเนื่องจากความจำเป็นของชีวิตนานัปการ แต่ลูกก็ดีใจเป็นหนักหนา หัวใจเต้นพองโตแทบจะทะลุออกมาได้ เมื่อได้พบหน้าคุณพ่อทุกครั้ง
คุณพ่อเป็นคนที่มีความเที่ยงตรงคล้ายดังตราชั่ง ถ้าอะไรที่ได้พิจารณาไตร่ตรองแล้วว่า เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือยุติธรรมสำหรับคนใดคนหนึ่ง ก็จะไม่ยอมให้เรื่องเช่นนั้นผ่านเลยไป แต่จะต้องจัดการให้เป็นที่ถูกต้องและยุติธรรมสำหรับทุกคนเสียก่อน เพราะเหตุนี้จึงเป็นที่รักและไว้วางใจของสมาชิกทุกคนในครอบครัว
ในด้านการปกครองลูกน้องก็ได้ยึดหลักการปกครองด้วย “พระเดช-พระคุณ” ควบคู่กันไป ซึ่งทำให้ลูกน้องทั้งเคารพรักและให้ความยำเกรงเป็นนักหนาในขณะเดียวกัน
และถ้าในยามลูกดื้อ หัวรั้น มีทิฐิ หรือกระทำตนไม่ถูกต้อง คุณพ่อก็เหมือนกัน เป็น “กระจกบานใหญ่” สะท้อนความผิดพลาดของลูก และเป็นกำลังใจให้ลูกได้รีบปรับปรุงและแก้ไขตนเองไปในแนวทางที่ดีงามและถูกต้องต่อไป
สิ่งที่คุณพ่อได้สร้างความประทับใจให้ลูกเป็นพิเศษ ซึ่งยังคงแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของลูก ตราบจนกระทั่งทุกวันนี้ก็คือ
ส.ค.ส.ใบแรกที่คุณพ่อให้ลูก เป็นภาพเขียนแมวน้อยขนสีดำ ตาสีฟ้า นั่งอยู่บนผ้าห่มที่เย็บจากการนำเศษผ้าที่เหลือใช้หลากหลายสีสรรมาเย็บต่อเข้าด้วยกัน และผ้าห่มชิ้นนี้ก็ให้ลูกได้เกิดพลังความคิดได้มากมาย อย่างน้อยที่สุดลูกก็รักและหลงใหลผ้าห่มที่มีลักษณะเช่นนี้มากเป็นพิเศษถึงขนาดว่าจะถามหาเพื่อขอซื้อผ้าห่มแบบนี้ตลอด ทว่าหายากเหลือเกิน เพราะไม่มีขายตามท้องตลาดทั่วไป ต้องรอให้พ่อค้าจากทางเหนือลงมาขายที่ท้องถิ่นบ้านเราเสียก่อนจึงจะซื้อจากเขาได้ และผ้าห่มนี้ก็สอนให้ลูกเป็นคน “ติดดิน” มาตลอดเกือบครึ่งชีวิตเข้าไปแล้ว และคงจะเป็นตลอดไปเนื่องจากมันฝังแน่นจนกลายเป็น “นิสัยอันถาวร” เข้าไปแล้ว และลูกก็กลายเป็นคนที่เรียบง่าย เป็นธรรมชาติ ยึดถือความสัตย์ซื่อ ความตรงไปตรงมาเป็นหางเสือในการดำเนินชีวิตไปในทิศทางที่ดีงามและเหมาะสม
ต่อมาก็คือ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ๒ ตัว เพศเมียและเพศผู้ ภายหลังลูกได้เลี้ยงดูมันเป็นอย่างดี และได้ตั้งชื่อให้มันว่า “ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้” ตามลำดับ ลูกต้องขอขอบพระคุณเป็นพิเศษสำหรับของขวัญชิ้นนี้ เนื่องด้วยมันเป็นเหมือนบทเรียนที่แท้จริงในการอบรมสั่งสอนลูกในการรับผิดชอบชีวิตอีกถึงสองชีวิต สอนให้รู้จักการโอบอุ้ม เลี้ยงดู รักและเอาใจใส่ ให้อาการเพื่อหล่อเลี้ยงทั้งร่างกายและจิตใจ ดูแลและเอื้ออาทรจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายพรากจากไป
และสุดท้ายคือ จักรยานคันสีแดงสดใส ที่เป็นพาหนะคู่ใจ เมื่อลูกได้ไปศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ที่มีชื่อเสียงในด้านภาษาเป็นลำดับที่สองของประเทศไทย ในแถบปริมณฑลของกรุงเทพมหานคร ซึ่งในเวลาแห่งการชิงชัยที่จะได้เก้าอี้นั่งเรียน ณ ที่แห่งนี้ ได้มาอย่างยากลำบากมิใช่น้อย ต้องต่อสู้ทั้งแรงกายคือสติปัญญาและแรงใจ ฉะนั้นจึงได้ทำความภาคภูมิใจให้กับคุณพ่ออย่างล้นเหลือ ในเวลาที่ลูกได้ขี่จักรยานคันนี้ ลูกมักคิดจินตนาการไปว่ามันสามารถพาลูกข้ามความเหลื่อมล้ำของมิติแห่งกาลเวลาและเอาชนะความล้าหลังทางวิทยาศาสตร์ไปหาคุณพ่อได้
มาภายหลังเมื่อคุณพ่อได้ละทิ้งชีวิตความสำราญในวัยหนุ่ม และสำลักเสรีภาพดังกล่าวแล้ว ก็ได้ตัดสินใจมาใช้ชีวิตที่มุ่งแสวงหาความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ความเป็นปึกแผ่นของครอบครัว การปลูกฝังความเจริญก้าวหน้าให้แก่ลูกๆ ในด้านการศึกษาเล่าเรียน และการวางรากฐานวิชาชีพของธุรกิจ “ฟาร์มโคนม” ซึ่งเป็นธุรกิจขนาดย่อมประจำครอบครัว เพื่อให้ลูกคนใดคนหนึ่งได้สืบสานยึดเป็นอาชีพในกาลข้างหน้า โดยมีผู้ช่วยที่ประเสริฐที่สุดก็คือคุณแม่ เป็นผู้ที่คอยช่วยเหลือสนับสนุนอยู่เคียงข้างกาย คอยให้กำลังใจ และเหน็ดเหนื่อยไปด้วยกันตลอดเส้นทางอันยาวไกล
คุณพ่อวางแผนและลงมือทำงานอย่างมีหลักการ นำประสบการณ์มาประยุกต์ใช้ ใช้เทคนิควิธีการต่างๆ ทางธุรกิจ มีการเรียนรู้กลไกลการตลาด การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกลุ่มผู้ร่วมอาชีพเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ล้วน เกื้อหนุนให้คุณพ่อสามารทำธุรกิจครอบครัวได้บรรลุผลสำเร็จ นั่นก็คือธุรกิจฟาร์มโคนมอันถือได้ว่าใหญ่ที่สุดของอำเภอชะอำในเวลานั้น บนที่ดินสามสิบไร่ล้อมรอบด้วยรั้วลวดหนามเดินกระแสไฟฟ้า มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน เป็นต้นว่า เครื่องรีดนม เครื่องตัดหญ้า มีแปลงปลูกหญ้าของตนเอง มีลูกจ้างนับรวมๆ ได้เป็นสิบคน เป็นต้น
ณ ที่แห่งนี้ได้สร้างชีวิตใหม่ให้คุณพ่อด้วยน้ำมือแต่งแต้มขัดเกลาของคุณพ่อเอง คุณพ่อเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก กล่าวคือ ขยันขันแข็งตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต ทำงานหนักตลอดเวลาโดยมิยอมพักผ่อนมากนัก กลับใช้เวลาว่างที่เหลือทุกๆ นาทีของชีวิตอย่างคุ้มค่า ราวกับหยังรู้ชะตาชีวิตที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า
ณ ที่แห่งนี้ นอกเหนือจากที่คุณพ่อได้สร้างมรดกไว้ให้แก่ลูก ในรูปของทรัพย์สิน ทั้งสังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์แล้ว คุณพ่อยังได้ปลูกสร้างทรัพย์สินที่ล้ำค่ามากกว่าทรัพย์สินใดๆ ทั้งหมดลงในตัวตนของลูก ซึ่งมันได้เจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีวันหมดสิ้น สิ่งนี้ก็คือ “ความรักความพึงพอใจในการอ่านหนังสือ”
ตั้งแต่ที่ลูกเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษา คุณพ่อได้ปลูกฝังให้ลูกอ่านหนังสือเสมอมา เป็นต้นว่า ลูกมีหน้าที่ในการอ่านหนังสือพิมพ์ให้คุณพ่อฟังทุกเช้า เริ่มตั้งแต่หน้าที่หนึ่ง ก็ต้องอ่านหัวข้อข่าวทุกข่าวว่ามีหัวข้อใดบ้าง และเมื่อคุณพ่อสนใจก็จะบอกให้ลูกไปอ่านในรายละเอียดในหน้าถัดไปจนจบข้อข่าวนั้น สิ่งนี้ทำให้ลูกเริ่มรักและคุ้นเคยกับการอ่านหนังสือมาก จนถึงขนาดอ่านได้คล่องแคล่วไม่ติดขัดเลย และเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเอาดีทางภาษาในเวลาต่อมาเมื่อได้ขึ้นเรียนชั้นมัธยมปลาย และยังส่งผลให้ลูกสนใจข่าวการบ้านการเมืองในเวลานั้นด้วย เนื่องจากคุณพ่อสนใจการเมืองเป็นพิเศษและให้ลูกอ่านข่าวการเมืองให้ฟังเสมอ ต่อมาเลยทำให้ลูกได้ไปซื้อหนังสือสารคดีที่มีเนื้อหาหนักๆ เป็นเรื่องราวของ “มาร์กอส” ซึ่งเป็นที่โด่งดังขณะนั้นมาอ่านอย่างเมามัน สนุกสนาน และเปี่ยมด้วยสาระ
นอกจากนั้น ลูกยังได้นำพื้นฐานความรักการอ่านหนังสือนี้ไปใช้ประโยชน์อีกมากมาย เป็นต้นว่า ลูกสามารถอ่านวรรณกรรมเล่มหนาเตอะหลายเล่มจบ หนังสือแนวธรรมะแบบปรัชญาชีวิต หนังสือทุกประเภท หรือแม้กระทั่งการเก็บหนังสืออ่านจนหมดตู้หนังสือใบใหญ่ของคุณแม่ได้เมื่อตอนเรียนอยู้ชั้นประถมปีที่ ๕-๖ เป็นต้นว่าบทประพันธ์เรื่อง “เมียน้อย” “เมียหลวง” ถ้าจำไม่ผิดเห็นจะเป็นของ กรุง ญ ฉัตร “ห้วงรักเหวลึก” ของ พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ บทประพันธ์ของนักเขียนที่มีชื่อเสียงอีกหลายท่าน อาทิเช่น โสภาค สุวรรณ/ สุวรรณี สุคนธา / ว.ณ ประมวลมารค /ว.วินิจฉัยกุล /โรสลาเรน/หรือแม้แต่ น.นพรัตน์- ผู้แปลวรรณกรรมจีนได่อย่างเต็มอรรถรสมาก ทั้งสั้น กระชับ ฉับไว กินใจความครบถ้วน และอื่นๆ อีกมากมาย ถึงแม้ในเวลานั้นจะเป็นการอ่านแบบไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากมายนัก แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญได้เช่นกัน และก็ทำให้ลูกภาคภูมิใจในตนเองระคนระลึกถึงพระคุณอันหาที่สุดมิได้ของคุณพ่อ
สิ่งเหล่านี้ได้อบรมบ่มเพาะและเสกสรรปั้นแต่ง ตลอดจนขัดเกลาจิตวิญญาณของลูก ให้มีความละเอียดอ่อน ละเมียดละไม ไม่หยาบกระด้าง ก่อตัวเป็นพลังเงียบในก้นบึ้งแห่งจิตสำนึกให้โหยหา และมีความใฝ่ฝันทะเยอทะยานอย่างแรงกล้า ที่จะเป็นนักประพันธ์ให้ได้สักวันหนึ่งข้างหน้า
รวมทั้งท้ายที่สุดลูกก็ได้เปลี่ยนสัญชาติตัวเองกลายเป็นสัตว์โลกอีกชนิดหนึ่งโดยสมบูรณ์ เป็นสัตว์โลกที่แทะเล็มและเสพย์สุนทรียภาพทางตัวอักษรและหนังสือเป็นอาหาร ชอบซุกซ่อนตัวอยู่ในโลกส่วนตัว ซึ่งเป็นคลังหนังสืออย่างสุขเกษม หลีกเลี่ยงความวุ่นวายหรือความเป็นสัตว์สังคมในหลายโอกาส มีอาหารว่างจานโปรดเป็นความสงบ ความวิเวก อันก่อให้เกิดสมาธิและสติปัญญา มีสหายสนิทเป็นความเงียบเหงาและว้าเหว่ เดินร่วมทางเดียวกันเสมอ บางทีก็มีภาษาและรหัสของตนเองซึ่งจะมีขั้วปิด-เปิดในการเลือกรับสาร-ตีความ-ส่งสารตอบยกลับ ก็เฉพาะผู้ที่มีรหัสลับเดียวกันหรือความถี่ตรงกันเท่านั้น
สัตว์โลกที่ลูกเข้าสังกัดด้วยนี้คนเขาเรียกมันว่า “หนอนหนังสือ” ซึ่งลูกว่ามันธรรดมาไป จริงๆ แล้วน่าจะเป็นชื่ออื่นที่คิดได้สะใจกว่านี้ แรงกว่านี้ แปลกใหม่กว่านี้ แต่ลูกยังคิดไม่ออกในเวลานี้ว่าจะตั้งชื่อให้มันซึ่งเป็นการให้ฉายาตัวลูกเองว่าอย่างไร บางทีอาจจะเป็น “สัตว์วิเวก?”
และในยามที่ความเป็นสัตว์วิเวกของลูกดังกล่าวนี้ปรากฏตัวออกมาเมื่อไร คนแรกที่ลูกระลึกถึงคะนึงหาด้วยความรักอาลัยอาวรณ์อย่างสุดหัวใจ ก็คือ “คุณพ่อ” ผู้ซึ่งได้น้ำตาของลูกเป็นเครื่องบรรณาการไปชั่วนิรันดร์
แล้วบทเพลงสุดโปรดก็มักสะท้อนเข้าสู่วิถีโคจรแห่งความคิดคำนึง ...เป็นวิมานอยู่บนดิน ให้เธอได้พักพิงและนอนหลับไหล... ...เก็บดาวเก็บเดือนมาร้อยมาลัย... ...เก็บหยาดน้ำค้างกลางไพรมาร้อยใจเราไว้เรียงกัน... ป่านฉะนี้คุณพ่อของลูกคงหลับสบายในอ้อมกอดแห่งธรรมชาติ ณ เวลานี้คุณพ่อของลูกคงหลับไหลอยู่ในบ้านวิมานดินอย่างเกษมสันต์ หลับเสียเถิดนะ...คนดีของลูก...หลับเสียเถิดนะ...ไม่ต้องกังวล หลับเสียเถิดนะ...หลับให้ฝันดี...หลับเสียเถิดนะ...พักให้หายเหนื่อย หลับเสียเถิดนะ...หลับให้สบาย...หลับเสียเถิดนะ...ลูกจะขับกล่อม ลูกขอให้สัญญาว่าจะไม่ทิ้งพ่อไปไหน ลูกขอให้สัญญาว่าจะไม่ห่างไกลไปจากพ่อ
ลูกขออยู่ที่นี่ชั่วคราวเพื่อทำหน้าที่อันชะตากำหนด พ่อย่อมรู้แก่ใจดี...ชีวิตคนเราแสนสั้นหนักหนา อุปมาดัง “เส้นใยบางๆ ระหว่างลมหายใจเข้าออก” เช่นนี้แล้วชีวิตย่อมแตกดับได้โดยง่าย...ดังคำ “หนักดังขุนเขา เบาดังปุยนุ่น” ลูกจึงมิได้หวาดหวั่นต่อการแตกดับทางร่างกาย หากหวั่นไหวต่อการแตกดับทางจิตใจมากกว่า จึงสัญญามั่น...พ่อของลูกย่อมได้พบลูกเป็นแน่แท้ที่...วิมานดิน
แม้ว่าคุณพ่อสุดที่รักของลูก ได้ละทิ้งสังขาร อันพระท่านเทศนาว่า เป็นของไม่เที่ยง เป็นเยงเปลือกที่ห่อหุ้มความสกปรก ความไม่น่าสิเน่หาทั้งปวงในกายของเราไปแล้ว ทว่าคุณพ่อได้ฝากความดีงามไว้เป็นอนุสรณ์ให้พวกเราทุกคนได้รำลึกถึงเสมอ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคงไม่มีใครที่เกินกว่าลูกไปได้
พ่อได้สร้างและทิ้งมรดกไว้ให้ลูกมากมายกว่าที่จะประเมินค่าหรือตีราคาได้ ทุกวันนี้ลูกมีกำลังใจในการมีชีวิต ลูกมุ่งกระทำความดี ลูกยึดหลักของคุณธรรมและความถูกต้อง ใช้ชีวิตเรียบง่ายและอ่อนน้อมถ่อมตน ดำรงชีวิตอย่างพอเพียงและรู้ค่า รักการอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ อยู่อย่างคนมีสติปัญญา มีจิตใจที่เมตตาปรานี เห็นคุณค่าของสรรพชีวิต มีจิตที่ละเอียดอ่อนบริสุทธิ์ไม่หยาบกระด้าง มีอุดมการณ์ในการใช้ชีวิต และทุกสิ่งที่เป็นความดีงาม ล้วนเป็นเพราะ “มือที่สร้างสรรค์และโอบอุ้มของพ่อ” ทั้งสิ้น
สิ่งต่างๆ ที่คุณพ่อปลูกฝัง แลเพาะเมล็ดพันธ์ที่ดีงามใส่ไว้ในตัวลูก ล้วนส่งผลดีให้กับลูกในกาลต่อมาแทบทั้งสิ้น และลูกขอยืนหยัดก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างทระนง องอาจ เข้มแข็ง ภาคภูมิใจและจะขอยึดถือหลักการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องดีงามของคุณพ่อ เป็น “แบบแผน” ในการดำเนินชีวิตของลูกต่อไป จนกว่าชีวิตนี้จะหาไม่
และสิ่งหนึ่งที่ลูกคนนี้ระลึกถึง...ซาบซึ้งในพระคุณ...ตระหนักถึงคุณค่า... สิ่งนั้นยิ่งใหญ่ในใจ...และ...ในชีวิต...ของลูกเป็นที่สุดแล้ว นั่นก็คือ... “มรดกที่พ่อมอบให้” ลูกจะรักษามรดกชิ้นนี้ไว้ตลอดกาล...