วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2551

อ่านนะ

บางครั้งเราก็มองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไปเพียงเพราะใช้เวลาสั้นๆ ในการตัดสินสิ่งนั้นว่า "ไร้สาระ"หลายวันก่อน เพื่อนคนหนึ่งถามฉันว่า "ทำไมต้องมียางลบอยู่บนหัวดินสอ ?"ฉันไม่ได้สนใจและใส่ใจกับคำถามนั้นสักเท่าไหร่เพียงแค่รู้สึกว่าเป็นคำถามที่ไม่มีสาระอะไรเสียเลยแต่ก็อดไม่ได้ที่จะตอบเล่นๆ ไปว่า"ก็คงมีเพื่อความสะดวกมั้งหรือไม่ก็ช่วยให้คนขี้ลืมที่ชอบวางยางลบไม่เป็นที่เป็นทางได้มียางลบ ใช้มั้ง"เพื่อนฉันก็อมยิ้ม ก่อนที่จะตอบสั้นๆ ว่า "ไม่ใช่""อ้าว. . .งั้นเพราะอะไรล่ะ" ฉันก็อดที่จะถามไม่ได้ก็เพราะว่า " คนเราสามารถทำผิดกันได้"". . . . . . . . . . . . . . . . . . " ฉันนิ่งไปครู่หนึ่งหลังจากที่ได้ยินคำตอบและปล่อยให้เจ้าของคำถามเดินจากไปโดยที่ไม่ได้อธิบายอะไรมากไปกว่าคำตอบสั้นๆ ของเขาเท่านั้นคำถามของเพื่อนที่เคยมองว่ามันไร้สาระกลับทำให้ได้ฉันเก็บมาคิดแทบทุกขณะที่สมองว่างเย็นวันนั้น ฉันจึงหยิบโทรศัพท์เขียนข้อความส่งถึงเพื่อนๆ ด้วยประโยคที่ซ้ำกัน..."ทำไมต้องมียางลบอยู่บนหัวดินสอ . . .เพราะคนเรามีสิทธิ์ทำผิดกันได้แต่จงจำไว้ว่า. . .เราไม่ควรใช้ยางลบให้หมดก่อนดินสอเพราะนั่นอาจหมายความว่า เรากำลังทำผิดซ้ำๆจนความผิดนั้นอาจสายเกินแก้"ตัวเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่คิดต่อจากเพื่อนนั้นมันจะถูกต้องหรือไม่และเพื่อนที่ได้รับข้อความจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันต้องการจะบอกหรือเปล่าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ. ..นั่นไม่ใช่สิ่งที่ต้องการมากสักเท่าไหร่แต่สิ่งที่อยากได้รับคือ เพื่อนจะคิดต่อจากความคิดของฉันอย่างไรและลึกๆ ฉันก็แค่หวังว่า . . .เพื่อนของฉันคงจะกล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาดและไม่ประมาทในการใช้ชีวิตและยอมรับการกระทำของตัวเอง . . .

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2551

อ่านกันดูนะ






























































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































น้ำแข็งกับนาฬิกาทราย
























































นานมาแล้ว โลกเป็นเพียงวัตถุทรงกลมเรียบๆเปล่าๆ ไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจาก น้ำแข็งก้อนใหญ่กับนาฬิกาทรายเรือนยักษ์ที่มีปลายเปิดสามารถปล่อยทรายออกได้อย่างเดียว น้ำแข็งกับนาฬิกาทรายเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เล็ก ร่วมทุกข์ร่วมสุข จนทั้งคู่เติบใหญ่เข้าสู่วัยหนุ่มสาว ความงดงามของน้ำแข็ง ทำให้นาฬิกาทรายแอบชื่นชมหลงใหล แต่ทุกครั้งที่พยายามแสดงความสนิทสนมใกล้ชิด ความเย็นชาจากน้ำแข็งก็ทำให้นาฬิกาทรายต้องผิดหวังทุกทีไป วันหนึ่งนาฬิกาทรายทะเลาะกับน้ำแข็งอย่างรุนแรงถึงขั้นแตกหัก นาฬิกาทรายร้องไห้เสียใจหนีไปอยู่อีกซีกโลกหนึ่งเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่านาฬิกาทรายกับน้ำแข็งก็ยังไม่คืนดีกัน ต่างคนต่างอยู่คนละซีกโลก จนมาวันหนึ่งเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำให้โลกจะต้องแตกออกเป็นสองส่วน น้ำแข็งรู้ดีว่าถ้าโลกแตกเป็นสองส่วนแล้ว ก็คงไม่ได้เจอกับนาฬิกาทรายตลอดกาล แต่ด้วยทิฐิที่มีอยู่ น้ำแข็งจึงเลือกที่จะอยู่นิ่งๆแทนที่จะออกตามหานาฬิกาทราย ดวงจันทร์โคจรผ่านมา น้ำแข็งจึงถามว่าอีกซีกโลกเป็นอย่างไรบ้าง ดวงจันทร์บอกว่านาฬิกาทรายกลับมาไม่ทันเพราะโลกกำลังจะแยก จึงปล่อยทรายออกมาปกคลุมรอยแตกของโลก เพื่อยึดไว้ไม่ให้แยกออกจากกันโดยหวังว่าจะได้กลับมาพบน้ำแข็งอีก ทันทีที่รู้น้ำแข็งก็รีบออกตามหานาฬิกาทราย........ สายเกินไป ทรายกำลังจะหมดจากตัวนาฬิกาแล้ว เมื่อน้ำแข็งมาถึงก็ได้ยินเพียงคำพูดสุดท้ายจากปากของนาฬิกาทราย "ฉันรักเธอ" ความเย็นชาที่มีในตัวน้ำแข็งหมดลงทันที น้ำแข็งจึงเริ่มละลายในขณะที่ทรายเม็ดสุดท้ายร่วงลงสู่พื้นดิน กลายเป็นน้ำทะเลที่อ่อนโยน คอยโอบอุ้มผืนทรายที่บริสุทธิ์ อยู่คู่กันมาจนทุกวันนี้